เส้นทางชีวิตในไกร์เซ็นต์ไฮม์ (ตอนที่สอง)

เช้านี้ตื่นนอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง เสียงระฆังจากโบสถ์คริสต์ดังเป็นระยะคงยากที่จะหดตัวในห้องเล็กๆอีกต่อไป (ลืมบอกไปค่าที่พักแบบประหยัดๆวันละ 50 ยูโรรวมอาหารเช้า ถ้าเป็นบ้านเรานะเหรอราคาขนาดนี้บอกได้คำเดียวว่า “แจ่ม”) มองออกไปนอกหน้าต่างเช้านี้ไม่มีสายฝนนี่นา น่าจะเป็นโอกาสดีของไอ้หนุ่มบ้านนอกจากเมืองไทยที่จะได้สูดกลิ่นอายของอาณาจักรไรน์อันยิ่งใหญ่แห่งอดีตกาลในยามเช้าและสัมผัสความหนาวเย็นได้เต็มที่ แล้วจะทำอะไรก่อนดีหละ เอาหละอาบน้ำซะหน่อย สองวันแล้วไม่ได้สระผม ในยามที่น้ำกระทบลำตัวอันหยาบก้านมันช่างรู้สึกหนาวเหน็บเข้าในทรวงซะเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะเป็นน้ำอุ่นก็ตามทีเถอะ
หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจส่วนตัวก็เป็นอาหารเช้าแล้วสิ Guten Morgen (กูเทิน มอร์เกิน) สวัสดีตอนเช้าที่ Zur Post Hotel แต่ว่าที่นี่คำทักทายไม่ค่อยจะมีกูเทินนะ ได้ยินคำหลังซะมาก “มอร์เกิน” คงจะเหมือน Good Morning นะเอาแค่คำว่า Morning ก็เข้าใจได้ว่าเสร็จสมอารมณ์หมายในยามเช้าแล้วไม่ต้องร่ายยาว
อาหารเช้าก็เหมือนๆเมื่อวานนะอาจจะแตกต่างตรงที่สลับที่นิดหน่อย แต่การจัดวางกลุ่มหลักของอาหารก็เหมือนเดิมเลย ลองหลับตาก็นึกได้เลยว่าถ้ายื่นมือไปณ ตรงนี้เราจะได้อะไรกลับมา ดูแล้วก็ทำง่ายๆนะ แต่ดูเรียบร้อยดี น้ำร้อน น้ำชา กาแฟ จะถูกจัดการบรรจุให้เรียบร้อยในเหยือกที่มีฝาปิดเพื่อรักษาความร้อนไว้จะเติมก็หมุนฝาหน่อยแล้วก็เทลงแก้วไม่มีเหยือกVaccumให้กดนะ ไม่ได้ใช้กาต้มไฟฟ้าให้ดูวุ่นวายกับสายไฟเหมือนที่เราชินชาสักเท่าไหร่ มีน้ำส้ม น้ำผลไม้ แต่อย่าได้ถามหาน้ำเปล่านะ เขาไม่มีให้บริการนะอยากดื่มก็ต้องรินน้ำร้อนไว้ซะจะดีกว่าแล้วก็อย่าถามว่าทำไมไม่มีเราก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่เราไปซื้อจากSupermarket มาสองรอบแล้ว Mineralwasser (มิเนราลวาสเซอร์) เปิดออกมาเหมือนโซดาช้างเลย (เหตุเพราะสิงห์ซ่ากว่า)
ที่นี่มีนมสดแล้วก็พวกCerealหลายๆอย่าง ลองลิ้มรสดูก็ใช้ได้นะเคยเห็นแต่ลูกกินตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน แต่ก็อร่อยดีกินง่ายด้วยไม่เหมือนกินเหล้า ก็นั่นสินะก็เพราะเหล้ามันไม่อร่อยก็เลยอยากจะลิ้มลอง ถ้าอยากกินของอร่อยก็นี่เลย กระเพราไก่ไข่ดาวกินแล้วไม่เมากินง่ายตายช้าแต่ก็นั่นหละไม่เมาแล้วจะกิน(ไปหาพระแสง)ทำไม ที่นั่งเขียนอยู่นี่เบียร์ก็หมดไปสามขวดเล็กแล้วนะ “Wacfteiner” ขวดละ 2.99 ยูโร รสชาดก็เหมือนกับสิงห์เลย ที่นี่อย่าไปหาไอ้พวก Heineken นะไม่มีขายหรอก
อาหารที่จัดเตรียมก็จะเป็นพวก (โทษทียังไม่จบหมวดอาหาร) Bread, Toast, Jam, Butter, Cheese, Bacon ชนิดต่าง แล้วก็อะไรหละไข่ต้มด้วยมีทั้งไข่เป็ด ไข่ไก่ คนแถวนี้เขากินไข่ต้มกับขนมปังแบบที่เป็นก้อนกลมๆนะแหละ แต่ว่าเขาไม่มีซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซอสถั่วเหลืองให้นะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จะมีเกลือแล้วก็พริกไทยเป็นเครื่องเคียง



เสร็จเรียบร้อยจากอาหารเช้าก็ต้องเดินสิ เพราะว่าที่นี่เขามีพื้นที่สำหรับปั่นจักรยาน สำหรับเดินได้สะดวกมาก ถนนในเมืองจะปูด้วยอิฐบล๊อคสีน้ำตาลอ่อนๆ ตามรอยต่อของอิฐก็จะมีมอสขึ้นดูแล้วสวยงาม เพราะเหตุว่ามันจะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่มีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว ใกล้ๆที่พักก็จะเป็นโบสถ์ (ภาษาเยอรมันเขียนว่า Radhause) วันอาทิตย์บรรดาคริสต์ศาสนิกชนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าก็จะมารวมตัวกันที่นี่ ดูแล้วใหญ่โตเหมือนกับงานเลี้ยงฉลองพัตรยศพระชั้นผู้ใหญ่ (แล้วจัดเลี้ยงทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน) เวลาเดินข้ามถนนก็สะดวกมากๆ เพราะเหตุว่าในขณะที่เราเดินไปตามทางเท้าแล้วก็จะข้ามไปอีกฝั่งของถนน รถทุกคันจะต้องจอดให้คนข้ามก่อน นับได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีมากๆ (ไม่เห็นจะต้องมีนักแสดงออกมารณรงค์ มาแสดงจำอวดในทีวีเหมือนบ้านเราเลย) ส่วนบ้านเรานะเหรอขอโทษจะข้ามได้แต่ละทีก็ต้องเท้าความแต่หนหลังหละทำบุญที่ไหนมามั่ง
จากที่พักเดินตามถนนไปเรื่อยเปื่อย ถนนสายอะไรก็ชั่งมันเถอะ ไม่ใกลมากก็จะลอดอุโมงค์ของถนนสายหลักระหว่างเมือง จากนั้นก็จะเดินเข้าสู่ริมแม่น้ำไรน์ “ลำน้ำแห่งโชคชะตา” ด้วยความยาว 1320 กม. ความยาวก็อันดับสามของยุโรปลองจากโวลกาและดานูบ เกือบครึ่งนึงของแม่น้ำไรน์อยู่ในเยอรมัน ปี ค.ศ. 55 จูเลียส ซีซาร์ สร้างสะพานข้ามแห่งแรกใกล้ๆอันเดอร์นาค ทางเหนือของโคเบลนซ์ได้สำเร็จ ก่อนหน้านี้แม่น้ำไรน์เคยเป็นพรมแดนสุดท้ายที่คั่นระหว่างจักรวรรดิโรมันกับชนเผ่าเยอรมัน แต่เมื่อชาวโรมันข้ามแม่น้ำมาได้แล้ว ชาวเยอรมันก็เข้าไปมีส่วนพัวพันในประวัติศาสตร์โลกอย่างถอนตัวไม่ขึ้น



นับได้ว่าวันนี้อากาศแจ่มใสไม่มีฝน แม้ท้องฟ้าจะมืดมัวไปบ้าง เราเองก็เดินเรียบแม่น้ำไรน์ด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง ริมฝั่งแม่น้ำเราไม่ได้เห็นกล่องโฟม ถุงพลาสติกสารพัดสี หรือว่าก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิตเหมือนบ้านเรานะ แม้จะเคยมีปัญหาเรื่องมลภาวะบ้าง แต่แม่น้ำไรน์ก็ยังเป็นสัญญลักษณ์ ที่สื่อถึงประวัติศาสตร์และจิตรวิญญาณของชาวเยอรมัน ซึ่งถูกเน้นย้ำโดยเหล่ากวีแนวโรแมนติกจนกลายเป็นความประทับใจของผู้มาเยือน เรือน้ำเที่ยวและอื่นๆ ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ อีกฝั่งของแม่น้ำก็จะเป็นหมู่บ้านที่แลดูแปลกตาด้วยยอดแหลมของโบสถ์ กับไก่ทองที่ช่วยแจ้งสภาพอากาศ รวมทั้งช่องเขาแคบๆและไร่องุ่นบนเนินสูงชัน



เรียบฝั่งแม่น้ำที่เราเดินก็จะเป็นจุดตั้งแค้มป์แต่ไม่ใช่ตั้งเต็นท์เล็กๆเหมือนที่เรานิยมในบ้านเรา ที่เราชอบไปเขาใหญ่หรือวังน้ำเขียวนะ สถานที่ที่จัดไว้ดูกว้างใหญ่เหมือนกัน เขานิยมใช้รถคาราวาน (Caravan) เหมือนที่เราเห็นบ่อยๆในหนังอเมริกันแหละ เป็นรถคันโตๆพอๆกะรถขนส่งหกล้อบ้านเราแหละ ข้างๆรถก็จะตั้งเต็นท์เพิ่มอีกความสูงก็เท่ากับรถนะแหละ ความยาวก็จากหัวรถถึงท้ายรถ ความกว้างก็เท่ากะรถอีกนะแหละ (สรุปแล้วเท่ากับรถหกล้อนั่นเอง) ข้างๆเต็นท์ก็จะเป็นจานดาวเทียมลากสายเข้าไปในเต็นท์เรียกได้ว่าเปรมปรีด์ที่เดียวแหละ ดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบคันรถนะ (ไม่ใช่คาราวานลูกทุ่งศิริพร หรือหนังกางแปลงบ้านเราคราวก่อนนะแอ๊ด เทวดา จำกันได้ไหมเอ่ย) จากริมฝั่งแม่น้ำถึงจุดตั้งแค้มป์ก็จะมีรั้วตาข่ายกั้นก่อนจะถึงถนนเรียบแม่น้ำ เมาแค่ไหนก็เชื่อได้ว่าไม่มีทางตกน้ำแน่นอน
ช่วงบ่ายโมงหน่อยๆ รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ต้องเดินกลับที่พักหละ ประมาณระยะทางที่จะกลับหลังหันก็ใกลพอสมควรนะ ต้องออมแรงไว้หน่อยหละ ภาระกิจชีวิตยังอีกยาวใกล

ไว้ติดตามตอนต่อไป
ผมเองครับ….ชาติ
วันที่สามในไกรเซ็นต์ไฮม์
14 กันยายน 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น